วันอาทิตย์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2561

บันทึกการเรียนครั้งที่ 12

 วันจันทร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ.2561

สอนเสริมประสบการณ์ หน่วยของเล่น ของใช้
ขั้นนำ
1.ครูนำเกมภาพตัดต่อการดูแลรักษาของเล่นมาให้เด็กเล่นโดยเลือกเด็กที่นั่งเรียบร้อยออกมาเล่น
ขั้นสอน
2.ครูและเด็กร่วมกันสนทนาการดูแลรักษาของเล่นของใช้จากเกมภาพตัดต่อ รูปภาพ และคำถามของครู ดังนี้
-เด็กๆเคยดูแลรักษาของเล่นของใช้อย่างไรบ้าง
-เด็กๆคิดว่าการดูแลรักษาของเล่นของใช้มีวิธีใดอีกบ้าง
-ทำไมเราถึงต้องดูแลของเล่นของใช้
3.ครูและเด็กร่วมกันสาธิตวิธีการดูแลรักษาของเล่นของใช้โดยการทำความสะอาด เช็ด ของเล่นของใช้
4.ครูและเด็กร่วมกันสรุป การดูแลรักษาของเล่น-ของใช้พร้อมบันทึกร่องรอยการเรียนรู้แบบ T-Chart

 ขั้นสรุป

ครูและเด็กร่วมกันทบทวนการดูแลรักษาของเล่น-ของใช้





อาจารย์ได้เสนอแนะว่า

การดูแลรักษาของเล่นของใช้ มีการนำภาพที่เป็นผลกระทบเนื่องจากการไม่ดูแลของเล่นของใช้จนทำให้เกิดอุบัติเหตุ และบอกวิธีการเก็บและการรักษา ของเล่นของใช้ที่ใช้ร่วมกันต้องฆ่าเชื้อโรคผ่านน้ำยาฆ่าเชื้อ เพราะเป็นของที่ใช้ร่วมกันเมื่อมีเชื้อโรคมันสามารถแพร่เชื้อให้กระจายออกไปได้ ครูอธิบายถึงความสำคัญของการดูแลรักษาให้เห็นชัดและเข้าใจง่าย
KNOWLEDGE

APPLIED
นำไปปรับใช้และแก้ไขให้ดีกว่าเดิม


VOCAB
Food preservation การถนอมอาหาร
Consumer  อุปโภค
Consume  บริโภค
Organ  อวัยวะ

ASSESSMENTการประเมิน

self : ตั้งใจสอนถึงแม้ว่าจะงงกับที่อาจารย์เสนอแนะบ้างแต่ก็พอเข้าใจ
friend : เพื่อนตั้งใจฟังดีและมีปฎิสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์ในด้านความรู้
Teacher : คำแนะนำของอาจารย์ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง

บันทึกการเรียนครั้งที่ 11

 วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ.2561

KNOWLEDGE

กิจกรรมเสริมประสบการณ์
1.หน่วยผีเสื้อแสนสวย
2.หน่วยยานพาหนะ
3.หน่วยแหล่งน้ำ
4.หน่วยของเล่น ของใช้
5.หน่วยฝน
6.หน่วยร่างกายของฉัน
7.หน่วยไข่

ข้อเสนอแนะ/ความรู้ที่ได้รับจากการนำเสนอ
         
          -อธิบายเรื่องอะไรที่มีลำดับขั้นตอน ให้จัดทำเป็นผังกราฟฟิกแบบมีลำดับขั้นตอนด้วยเช่นกัน (ทำกรอบแล้วชี้ลูกศรเป็นข้อลงไป เช่น ขั้นตอนการทำกิจกรรมประกอบอาหาร (Cooking) 
ขั้นตอนการล้างรถ เป็นต้น
         -ขั้นนำใช้เป็นภาพตัดต่อ ครูควรให้เด็กทุกคนมีส่วนร่วมในกิจกรรมด้วย เช่น แจกภาพตัดต่อให้กับเด็กๆและให้เด็กๆมาช่วยกันต่อภาพให้สมบูรณ์
          -ห้ามลืม concept ของเรื่องนั้นๆ ที่ต้องการให้เด็กรู้ พูดซ้ำย้ำทวนในทุกการบันทึกข้อมูล



APPLIED
สามารถนำไปใช้กับกระบวนการสอนเสริมประสบการณ์และหัวใจสำคัญของการสอนต้องห้ามลืมว่าสอนเรื่องอะไรควรสอนให้ตรงกับเรื่องนั้นๆ

VOCAB
Observe - สังเกต
Participation - มีส่วนร่วม
Take notes – จดบันทึก

ASSESSMENTการประเมิน

self : ตั้งใจฟังและร่วมกิจกรม

friend : เพื่อนตั้งใจเรียนและมีปฎิสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์ในด้านความรู้

Teacher : คำแนะนำของอาจารย์ สามารถนำไปประยุกย์ใช้ได้จริง
บันทึกการเรียนครั้งที่ 10

 วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ.2561



KNOWLEDGE
กิจกรรมเสริมประสบการณ์
·     หน่วยฝน
·     หน่วยร่างกาย
·     หน่วยไข่
·     หน่วยยานพาหนะ
·     หน่วยผีเสื้อแสนสวย
·     หน่วยของเล่นของใช้
·     หน่วยน้ำ

อาจารย์ได้ให้ข้อเสนอแนะดังนี้

        1.ในขั้นนำการเลือกใช้เพลง นิทาน (สั้นๆ) หรือคำคล้องจองต้องมีความเหมาะสมกับเรื่องที่จะสอนในแต่ละวัน
        2.ครูใช้ถามคำถามโดยถามเกี่ยวกับเนื้อหาที่อยู่ในเพลง นิทานหรือคำคล้องจองเพื่อที่จะนำเด็กเข้าสู่เนื้อหาฝนขั้นสอน
        3.เด็กควรจะต้องได้มีส่วนร่วมในกิจกรรม เช่น ออกมาติดภาพหรือเขียนตัวเลข
        4.การบันทึกข้อมูลลงตารางหรือลงแผนภาพ Venn diagram จะเป็นการฝึกให้เด็กได้รู้จักเปรียบเทียบความเหมือนต่าง
        5.ให้เด็กสังเกตลักษณะและบันทึกรูปทรง สี ผิวสัมผัส กลิ่น ส่วนประกอบไปทีละชนิด ทีละอย่างเพื่อเป็นการวิเคราะห์ และมาสังเคราะห์ลงแผนภาพ Venn diagram ยกตัวอย่างหน่วยที่สอนในวันนี้ เช่น สอนเรื่องไข่เป็ด-ไข่ไก่ สอนเรื่องผีเสื้อ สอนเรื่องของเล่นของใช้ เป็นต้น
        6.ในการเปรียบเทียบของ2สิ่งขึ้นไป ถ้าเด็กภายในห้องเยอะ ครูสามารถเตรียมสื่อหรือภาพมาอย่างละ 2 ชิ้น เช่น ภาพผีเสื้อกลางวัน 2 ภาพ, ผีเสื้อกลางคืน 2 ภาพ เพื่อส่งให้เด็กทั้ง 2 ฝั่ง เด็กดู/สังเกตและส่งไปจนถึงตรงกลางแล้ว เมื่อดู/สังเกตเสร็จแล้วให้คนตรงกลางนำมาให้ครู วิธีการส่งสื่อหรือภาพสามารถทำได้หลากหลายวิธี

APPLIED
สามารถนำไปใช้ในการสอนเสริมประสบการณ์ต่างๆตามที่ครูเสนอแนะ


VOCAB

Observe - สังเกต
Participation - มีส่วนร่วม
Take notes – จดบันทึก

ASSESSMENTการประเมิน

self : ตั้งใจฟังนำไปปรับใช้

friend : เพื่อนตั้งใจเรียนและมีปฎิสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์ในด้านความรู้

Teacher : คำแนะนำของอาจารย์ สามารถนำไปประยุกย์ใช้ได้จริง
บันทึกการเรียนครั้งที่ 9

วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ.2561



KNOWLEDGE

กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะของหน่วยต่างๆ
·     หน่วยตัวเรา
·     หน่วยผีเสื้อแสนสวย
·     หน่วยของเล่นของใช้
·     หน่วยฝนจ๋า
·     หน่วยน้ำ
·     หน่วยยานพาหนะ
·     หน่วยไข่


อาจารย์ได้เสนอแนะเพื่อนำไปปรับใช้ดังนี้
·   
·     การจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ ควรจัดกิจกรรมให้เหมาะสมกับเนื้อหาที่สอนในวันนั้น

 การเคลื่อนไหวพื้นฐานสามารถทำได้หลากหลายรูปแบบ เช่น การเดิน เดินด้วยปลายเท้า เดินตะแคงเท้า
·     เครื่องเคาะจังหวะและการเคาะจังหวะให้สม่ำเสมอและฟังชัดเจน
     ควรเคาะจังหวะปกติก่อน หลังจากนั้นเพิ่มเติมจังหวะใหม่ได้ เช่น จังหวะช้า คือ เคาะ1ครั้ง สั่นๆๆๆๆแล้วเคาะอีก1เคาะ เพื่อให้เด็กก้าวเท้าไปช้าๆตามจังหวะ
·     การพักคลายกล้ามเนื้อ สามารถทำได้หลากหลายวิธีจะเป็นเดี่ยว กลุ่มย่อย กลุ่มใหญ่ก็สามารถทำได้ ใช้วิธีการจับกลุ่มที่หลากหลาย ไม่จำเจ



APPLIED
สามารถนำไปรับใช้ในการสอนเคลื่อนไหวเพื่อให้มีความหลากหลายในการพัฒนาการเด็กและไม่จำเจ

VOCAB
Knock - เคาะ
Acting - การแสดง
Pace - ก้าว


ASSESSMENTการประเมิน

self : ได้ความรู้ใหม่ๆในการใช้สอนเลื่อนไหว

friend : เพื่อนตั้งใจเรียนและมีปฎิสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์ในด้านความรู้

Teacher : คำแนะนำของอาจารย์ สามารถนำไปประยุกย์ใช้ได้จริง
บันทึกการเรียนครั้งที่ 8

 วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ.2561
 


KNOWLEDGE


แผนการจัดประสบการณ์สำหรับเด็กปฐมวัย

     แผนการจัดประสบการณ์ เป็นการวางแผนการสอนรายวันที่ครอบคลุมพัฒนาการทั้ง 4 ด้านของเด็กปฐมวัยผ่านการกำหนดกิจกรรมประจำวัน เพื่อให้เด็กปฏิบัติและได้รับประสบการณ์  อันจะนำไปสู่การบรรลุวัตถุประสงค์การศึกษาทั้งด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย                                     
     การเขียนแผนการจัดประสบการณ์รายวันจะนำสาระที่ควรเรียนรู้และประสบการณ์สำคัญที่กำหนดเป็นหน่วยบูรณาการ (unit plan)  นำมาออกแบบเป็นแผนการจัดการประสบการณ์รายสัปดาห์ (weekly plan) มาวางแผนการจัดประสบการณ์แต่ละวันในกิจกรรมประจำวัน ซึ่งแผนการจัดประสบการณ์นั้นจะยึดหลักความสอดคล้องกับสาระสำคัญและจุดประสงค์ของหน่วยบูรณาการที่กำหนดไว้ในตอนต้น

     การเขียนแผนใน 1 วันต้องเขียนทั้ง 6 กิจกรรมหลัก  คือ
1.กิจกรรมเสริมประสบการณ์
2.กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ
3.กิจกรรมกลางแจ้ง
4.กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์
5.กิจกรรมเสรี
6.กิจกรรมเกมการศึกษา

      *การเลือกเรื่องที่จะสอนนั้น ต้องเป็นเรื่อง ในชีวิตประจำวันของเด็ก เป็นเรื่องใกล้ตัวเด็กและส่งผลกระทบต่อเด็ก*


องค์ประกอบการเขียนแผนการจัดประสบการณ์





องค์ประกอบของแผนการจัดประสบการณ์
วัตถุประสงค์ คือ สิ่งที่ต้องการให้เด็กได้ หลังจากการทำกิจกรรม
สาระการเรียนรู้ แบ่งออกเป็น สาระที่ควรเรียนรู้  / ประสบการณ์สำคัญ (นำมาจากหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย)
กิจกรรมการเรียนรู้ คือ กิจกรรมที่เราจะสอนเด็ก แบ่งออกเป็น ขั้นนำ ขั้นสอน ขั้นสรุป
สื่อ / แหล่งการเรียนรู้ คือ สื่อที่เราจะใช้สอน
การวัดและการประเมินผล เช่น การสังเกต การจดบันทึกพฤจิกรรม
การบูรณาการ
แนวคิดในการจัดประสบการณ์ คือ เครื่องมือที่เด็กจะใช้เป็นเกณฑ์การตัดสินใจในชีวิตประจำวัน
เช่น หน่วยยานพาหนะ

ประสบการณ์สำคัญ คือ สิ่งที่เด็กได้มีโอกาสกระทำ ประสบการณ์ทำให้เกิดการเรียนรู้

*การเรียนรู้ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เพื่อที่จะเอาตัวรอดในการดำรงชีวิตและนำมาสังเกตประเมินผลได้*

*วิธีการเรียนรู้  หมายถึง การลงมือกระทำผ่านวัตถุผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 (การเล่น)โดยเลือกตัดสินใจด้วยตนเอง*

คุณลักษณะตามวัย  หมายถึง สิ่งที่ให้รู้พัฒนาการเด็กในแต่ละวัย เพื่อนำมาจัดประสบการณ์ให้ทรอดคล้องกับพัฒนาการและวิธีการเรียนรู้ เพื่อสามารถนำมาประเมินพัฒนาการเด็กในแต่ละด้าน


กิจจกรรมเคลื่อนไหวจังหวะ

    การเคลื่อนไหวจังหวะ เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้เคลื่อนไหวส่วนต่างๆของร่างกายอย่างอิสระตาม จังหวะ โดยใช้เสียงเพลงคำคล้องจองการปฏิบัติตามสัญญาณ ส่งเสิรมพัฒนการการด้านร่างกาย ให้เด็กได้เคลื่อนไหวอย่าอิสระและความคิดสร้างสรรค์ตามจินตนาการ

รูปแบบการเคลื่อนไหว
1. เคลื่อนไหวพื้นฐาน ได้แก่
      - เคลื่อนไหวอยู่กับที่ ได้แก่ ตบมือ ผงกศีรษะ  ขยิบตา ชันเขา เคาะเท้า เคลื่อนไหวมือและแขน มือและนิ้ว เท้าและปลายเท้า
      - การเคลื่อนไหวเคลื่อนที่  ได้แก่  คลาน คืบ เดิน วิ่ง  กระโดด ควบม้า ก้าวกระโดด

2. เคลื่อนไหวสัมพันธ์เนื้อหา เช่น
    -เคลื่อนไหวตามคำสั่ง
    -เคลื่อไหวตามคำบรรยาย
    -เคลื่อนไหวตามความจำ
    -เคลื่อนไหวแบบผู้นำ-ผู้ตาม
    -เคลื่อนไหวประกอบเพลง


Executive Function (EF)

Executive Function (EF) คือ การทำงานของสมองด้านการจัดการ ซึ่งมีอิทธิพลต่อความสำเร็จในชีวิต โดยอาศัยกระบวนการทางปัญญา (cognitive process) ต่างๆ เช่น การยับยั้งความคิด การแก้ปัญหา การวางเป้าหมาย การวางแผนการปฏิบัติ (goal-directed behavior) การจดจำ ความยืดหยุ่นทางปัญญา (cognitive flexibility) เป็นความสามารถในการควบคุมความคิดตนเอง เช่น มีรูปแบบความคิดที่หลากหลาย การคิดนอกกรอบ ความสามารถในการปรับเปลี่ยนความคิดและความสนใจตามสถานการณ์ รวมถึงการปฏิบัติตามคำสั่งที่ซับซ้อนกระบวนการทางปัญญาเหล่านี้สามารถพัฒนาได้ในวัยเด็กตอนต้น ผ่านกิจกรรมที่ต้องใช้ทักษะด้านสังคม อารมณ์ และร่างกายเพื่อช่วยส่งเสริม EF ให้ดีขึ้น เช่นการเล่นดนตรี เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่กระตุ้นการทำงานของ EF เพราะต้องอาศัยทักษะต่างๆ เช่น การมีสมาธิอย่างต่อเนื่อง ความยืดหยุ่นทางปัญญา การปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน (task switching)
       


APPLIED
สามารถนำไปใช้กับกระบวนการเขียนแผนการสอนได้อย่างถูกต้อง

VOCAB
Executive Function   การทำงานของสมองด้านการจัดการ
Nit plan  หน่วยบูรณาการ
Experience Plan  แผนการจัดประสบการณ์


ASSESSMENTการประเมิน

self : ตั้งใจเรียน

friend : เพื่อนตั้งใจเรียนและมีปฎิสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์ในด้านความรู้

Teacher : คำแนะนำของอาจารย์ สามารถนำไปประยุกย์ใช้ได้จริง

บันทึกการเรียนครั้งที่ 7

 วันจันทร์ที่ 26 กุภาพันธ์ พ.ศ.2561



KNOWLEDGE

สอบกลางภาค
บันทึกการเรียนครั้งที่ 6

 วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2561



KNOWLEDGE


Mind Mapping การบูรณการทักษะวิชา
Mind Mapping 6 กิจกรรมหลัก

หน่วย ของเล่นของใช้




APPLIED
สามารถนำไปใช้กับกระบวนการเขียนแผนการสอนได้อย่างถูกต้อง

VOCAB
Standard  มาตรฐาน
Integration   บูรณาการ
Math   คณิตศาสตร์
Science วิทยาศาสตร์
Language  ภาษา


ASSESSMENTการประเมิน

self : ตั้งใจฟังคำเสนอแนะจากอาจารย์

friend : เพื่อนตั้งใจเรียนและมีปฎิสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์ในด้านความรู้

Teacher : คำแนะนำของอาจารย์ สามารถนำไปประยุกย์ใช้ได้จริง
บันทึกการเรียนครั้งที่ 5 
วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2561

KNOWLEDGE





  1. การบูรณาการทักษะรายวิชา 
  2. หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย 2560
  3. กรอบมาตรฐานวิทยาศาสตร์ปฐมวัย
  4. กรอบมาตรฐานคณิตศาสตร์ปฐมวัย
  5. 6 กิจกรรมหลัก 


บูรณาการทักษะรายวิชา
คณิตศาสตร์ : กรอบมาตรฐานคณิตศาสตร์
วิทยาศาสตร์ : กรอบมาตรฐานวิทยาศาสตร์
สังคมศึกษา : พัฒนาการ อารมณ์จิตใจ และ สังคม
พลศึกษา/สุขศึกษา : พัฒนาการการเคลื่อนไหวและจังหวะ
ศิลปะสร้างสรรค์ : สีเทียน สีน้ำ ฉีกปะ สานร้อย ประดิษฐ์ ร่วมมือ ปั้น


ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
     ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เป็นทักษะแสวงหาความรู้ และแนวทางสำหรับการแก้ไขปัญหา เป็นแนวทางที่พัฒนาขึ้นตามหลักสูตร science a process approach (SAPA) ของสมาคมอเมริกันเพื่อความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ (The American association for the advancement of science) ประกอบด้วยทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 13 ทักษะ แบ่งเป็น 2 ระดับ คือ
1. ระดับทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน 8 ทักษะ เหมาะสำหรับระดับการศึกษาปฐมวัย
2. ระดับทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นบูรณาการ 5 ทักษะ เหมาะสำหรับระดับการศึกษามัธยมวัย

1. ระดับทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน 8 ทักษะ เป็นทักษะเพื่อการแสวงหาความรู้ทั่วไป ประกอบด้วย
ทักษะที่ 1 การสังเกต (Observing) หมายถึง การใช้ประสาทสัมผัสของร่างกายอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง ได้แก่ หู ตา จมูก ลิ้น กายสัมผัส เข้าสัมผัสกับวัตถุหรือเหตุการณ์เพื่อให้ทราบ และรับรู้ข้อมูล รายละเอียดของสิ่งเหล่านั้น โดยปราศจากความคิดเห็นส่วนตน ข้อมูลเหล่านี้จะประกอบด้วย ข้อมูลเชิงคุณภาพ เชิงปริมาณ และรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการสังเกต
ความสามารถที่แสดงการเกิดทักษะ
– สามารถแสดงหรือบรรยายคุณลักษณะของวัตถุได้ จากการใช้ประสาทสัมผัสอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง
– สามารถบรรยายคุณสมบัติเชิงประมาณ และคุณภาพของวัตถุได้
– สามารถบรรยายพฤติการณ์การเปลี่ยนแปลงของวัตถุได้

ทักษะที่ 2 การวัด (Measuring) หมายถึง การใช้เครื่องมือสำหรับการวัดข้อมูลในเชิงปริมาณของสิ่งต่างๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลเป็นตัวเลขในหน่วยการวัดที่ถูกต้อง แม่นยำได้ ทั้งนี้ การใช้เครื่องมือจำเป็นต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับสิ่งที่ต้องการวัด รวมถึงเข้าใจวิธีการวัด และแสดงขั้นตอนการวัดได้อย่างถูกต้อง

ความสามารถที่แสดงการเกิดทักษะ
– สามารถเลือกใช้เครื่องมือได้เหมาะสมกับสิ่งที่วัดได้
– สามารถบอกเหตุผลในการเลือกเครื่องมือวัดได้
– สามารถบอกวิธีการ ขั้นตอน และวิธีใช้เครื่องมือได้อย่างถูกต้อง
– สามารถทำการวัด รวมถึงระบุหน่วยของตัวเลขได้อย่างถูกต้อง

ทักษะ ที่ 3 การคำนวณ (Using numbers) หมายถึง การนับจำนวนของวัตถุ และการนำตัวเลขที่ได้จากนับ และตัวเลขจากการวัดมาคำนวณด้วยสูตรคณิตศาสตร์ เช่น การบวก การลบ การคูณ การหาร เป็นต้น โดยการเกิดทักษะการคำนวณจะแสดงออกจากการนับที่ถูกต้อง ส่วนการคำนวณจะแสดงออกจากการเลือกสูตรคณิตศาสตร์ การแสดงวิธีคำนวณ และการคำนวณที่ถูกต้อง แม่นยำ

ความสามารถที่แสดงการเกิดทักษะ
– สามารถนับจำนวนของวัตถุได้ถูกต้อง
– สามารถบอกวิธีคำนวณ แสดงวิธีคำนวณ และคิดคำนวณได้ถูกต้อง

ทักษะที่ 4 การจำแนกประเภท (Classifying) หมายถึง การเรียงลำดับ และการแบ่งกลุ่มวัตถุหรือรายละเอียดข้อมูลด้วยเกณฑ์ความแตกต่างหรือความสัมพันธ์ใดๆอย่างใดอย่างหนึ่ง

ความสามารถที่แสดงการเกิดทักษะ
– สามารถเรียงลำดับ และแบ่งกลุ่มของวัตถุ โดยใช้เกณฑ์ใดได้อย่างถูกต้อง
– สามารถอธิบายเกณฑ์ในเรียงลำดับหรือแบ่งกลุ่มได้

ทักษะที่ 5 การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส และสเปสกับเวลา (Using space/Time relationships)
สเปสของวัตถุ หมายถึง ที่ว่างที่วัตถุนั้นครองอยู่ ซึ่งอาจมีรูปร่างเหมือนกันหรือแตกต่างกับวัตถุนั้น โดยทั่วไปแบ่งเป็น 3 มิติ คือ ความกว้าง ความยาว และความสูง ความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปสของวัตถุ ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่าง 3 มิติ กับ 2 มิติ ความสัมพันธ์ระหว่างตำแหน่งที่อยู่ของวัตถุหนึ่งกับวัตถุหนึ่ง

ความสัมพันธ์ระหว่างสเปสของวัตถุกับเวลา ได้แก่ ความสัมพันธ์ของการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของวัตถุกับช่วงเวลา หรือความสัมพันธ์ของสเปสของวัตถุที่เปลี่ยนไปกับช่วงเวลา

ความสามารถที่แสดงการเกิดทักษะ
– สามารถอธิบายลักษณะของวัตถุ 2 มิติ และวัตถุ 3 มิติ ได้
– สามารถวาดรูป 2 มิติ จากวัตถุหรือรูป 3 มิติ ที่กำหนดให้ได้
– สามารถอธิบายรูปทรงทางเราขาคณิตของวัตถุได้
– สามารถอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างวัตถุ 2 มิติ กับ 3 มิติได้ เช่น ตำแหน่งหรือทิศของวัตถุ และตำแหน่งหรือทิศของวัตถุต่ออีกวัตถุ
– สามารถบอกความสัมพันธ์ของการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของวัตถุกับเวลาได้
– สามารถบอกความสัมพันธ์ของการเปลี่ยนแปลงขนาด ปริมาณของวัตถุกับเวลาได้

ทักษะที่ 6 การจัดกระทำ และสื่อความหมายข้อมูล (Communication) หมายถึง การนำข้อมูลที่ได้จากการสังเกต และการวัด มาจัดกระทำให้มีความหมาย โดยการหาความถี่ การเรียงลำดับ การจัดกลุ่ม การคำนวณค่า เพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจความหมายได้ดีขึ้น ผ่านการเสนอในรูปแบบของตาราง แผนภูมิ วงจร เขียนหรือบรรยาย เป็นต้น

ความสามารถที่แสดงการเกิดทักษะ
– สามารถเลือกรูปแบบ และอธิบายการเลือกรูปแบบในการเสนอข้อมูลที่เหมาะสมได้
– สามารถออกแบบ และประยุกต์การเสนอข้อมูลให้อยู่ในรูปใหม่ที่เข้าใจได้ง่าย
– สามารถเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่เข้าใจได้ง่าย
– สามารถบรรยายลักษณะของวัตถุด้วยข้อความที่เหมาะสม กะทัดรัด และสื่อความหมายให้ผู้อื่นเข้าใจได้ง่าย

ทักษะที่ 7 การลงความเห็นจากข้อมูล (Inferring) หมายถึง การเพิ่มความคิดเห็นของตนต่อข้อมูลที่ได้จากการสังเกตอย่างมีเหตุผลจากพื้นฐานความรู้หรือประสบการณ์ที่มี

ความสามารถที่แสดงการเกิดทักษะ คือ สามารถอธิบายหรือสรุปจากประเด็นของการเพิ่มความคิดเห็นของตนต่อข้อมูลที่ได้มา

ทักษะที่ 8 การพยากรณ์ (Predicting) หมายถึง การทำนายหรือการคาดคะเนคำตอบ โดยอาศัยข้อมูลที่ได้จากการสังเกตหรือการทำซ้ำ ผ่านกระบวนการแปรความหายของข้อมูลจากสัมพันธ์ภายใต้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์

ความสามารถที่แสดงการเกิดทักษะ คือ สามารถทำนายผลที่อาจจะเกิดขึ้นจากข้อมูลบนพื้นฐานหลักการ กฎ หรือทฤษฎีที่มีอยู่ ทั้งภายในขอบเขตของข้อมูล และภายนอกขอบเขตของข้อมูลในเชิงปริมาณได้

2. ระดับทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นบูรณาการ 5 ทักษะ เป็นทักษะกระบวนการขั้นสูงที่มีความซับซ้อนมากขึ้น เพื่อแสวงหาความรู้ โดยใช้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน เป็นพื้นฐานในการพัฒนา ประกอบด้วย

ทักษะที่ 9 การตั้งสมมติฐาน (Formulating hypotheses) หมายถึง การตั้งคำถามหรือคิดคำตอบล่วงหน้าก่อนการทดลองเพื่ออธิบายหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่าง ๆ ว่ามีความสัมพันธ์อย่างไรโดยสมมติฐานสร้างขึ้นจะอาศัยการสังเกต ความรู้ และประสบการณ์ภายใต้หลักการ กฎ หรือทฤษฎีที่สามารถอธิบายคำตอบได้

ความสามารถที่แสดงการเกิดทักษะ
– สามารถตั้งคำถามหรือคิดหาคำตอบล่วงหน้าก่อนการทดลองได้
– สามารถตั้งคำถามหรือคิดหาคำตอบล่วงหน้าจากความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆได้

ทักษะที่ 10 การกำหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ (Defining operationally) หมายถึง การกำหนด และอธิบายความหมาย และขอบเขตของคำต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาหรือการทดลองเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันระหว่างบุคคล

ความสามารถที่แสดงการเกิดทักษะ คือ สามารถอธิบายความหมาย และขอบเขตของคำหรือตัวแปรต่าง ๆที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา และการทดลองได้

ทักษะที่ 11 การกำหนด และควบคุมตัวแปร (Identifying and controlling variables) หมายถึง การบ่งชี้ และกำหนดลักษณะตัวแปรใดๆให้เป็นเป็นตัวแปรอิสระหรือตัวแปรต้น และตัวแปรใดๆให้เป็นตัวแปรตาม และตัวแปรใดๆให้เป็นตัวแปรควบคุม

ตัวแปรต้น คือ สิ่งที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผลหรือสิ่งที่ต้องการทดลองเพื่อให้ทราบว่าเป็นสาเหตุของผลที่เกิดขึ้นหรือไม่

ตัวแปรตาม คือ ผลที่เกิดจากการกระทำของตัวแปรต้นในการทดลอง

ตัวแปรควบคุม คือ ปัจจัยอื่น ๆ นอกเหนือจากตัวแปรต้นที่อาจมีผลมีต่อการทดลองที่ต้องควบคุมให้เหมือนกันหรือคงที่ขณะการทดลอง

ความสามารถที่แสดงการเกิดทักษะ คือ สามารถกำหนด และอธิบายตัวแปรต้น ตัวแปรตาม และตัวแปรควบคุมในการทดลองได้

ทักษะที่ 12 การทดลอง (Experimenting) หมายถึง กระบวนการปฏิบัติ และทำซ้ำในขั้นตอนเพื่อหาคำตอบจากสมมติฐาน แบ่งเป็น 3 ขั้นตอน คือ
1. การออกแบบการทดลอง หมายถึง การวางแผนการทดลองก่อนการทดลองจริงๆ เพื่อกำหนดวิธีการ และขั้นตอนการทดลองที่สามารถดำเนินการได้จริง รวมถึงวิธีการแก้ไขปัญหาอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นขณะทำการทดลองเพื่อให้การทดลองสามารถดำเนินการให้สำเร็จลุล่วงด้วยดี
2. การปฏิบัติการทดลอง หมายถึง การปฏิบัติการทดลองจริง
3. การบันทึกผลการทดลอง หมายถึง การจดบันทึกข้อมูลที่ได้จากการทดลองซึ่งอาจเป็นผลจากการสังเกต การวัดและอื่น ๆ

ความสามารถที่แสดงการเกิดทักษะ
– สามารถออกแบบการทดลอง และกำหนดวิธี ขั้นตอนการทดลองได้ถูกต้อง และเหมาะสมได้
– สามารถระบุ และเลือกใช้อุปกรณ์ในการทดลองอย่างเหมาะสม
– สามารถปฏิบัติการทดลองตามขั้นตอนได้อย่างถูกต้อง
– สามารถบันทึกผลการทดลองได้อย่างถูกต้อง

ทักษะที่ 13 การตีความหมายข้อมูล และการลงข้อมูล (Interpreting data and conclusion) หมายถึง การแปรความหมายหรือการบรรยายลักษณะและสมบัติของข้อมูลที่มีอยู่ การตีความหมายข้อมูลในบางครั้งอาจต้องใช้ทักษะอื่น ๆ เช่น ทักษะการสังเกต ทักษะการคำนวณ

การลงข้อมูล หมายถึง การวิเคราะห์ และการสรุปผลความสัมพันธ์ของข้อมูล สรุปประเด็นสำคัญของข้อมูลที่ได้จากการทดลองหรือศึกษา

ความสามารถที่แสดงการเกิดทักษะ คือ
– สามารถในการวิเคราะห์ และสรุปประเด็นสำคัญ รวมถึงการแปลความหมายหรือบรรยายลักษณะของข้อมูล
– สามารถบอกความสัมพันธ์ของข้อมูลได้

ทักษะคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย
     การส่งเสริมการเรียนรู้และการพัฒนาความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ให้แก่เด็กปฐมวัยนั้นครูหรือผู้เกี่ยวข้องควรทราบว่ามีทักษะจำเป็นอะไรบ้างที่เด็กปฐมวัยควรได้รับการส่งเสริมและพัฒนาเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการเรียนคณิตศาสตร์ของเด็กต่อไป ทักษะที่เด็กปฐมวัยควรได้รับการส่งเสริมและพัฒนานั้นอาจแบ่งเป็น ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ และทักษะพื้นฐานการคิดคำนวณ
ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ที่จำเป็นสำหรับเด็กปฐมวัยมี 7 ทักษะ ได้แก่

1. ทักษะการสังเกต (Observation)คือการใช้ประสาทสัมผัสในการเรียนรู้ โดยเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับวัตถุสิ่งของหรือเหตุการณ์อย่างมีจุประสงค์ เช่น การจะหาข้อมูลที่เป็นรายละเอียดของสิ่งนั้น ๆ โดยไม่ใส่ความคิดเห็นของตนเองลงไป

2. ทักษะการจำแนกประเภท (Classifying)คือ ความสามารถในการแบ่งประเภทของสิ่งของ โดยหาเกณฑ์หรือสร้างเกณฑ์ในการแบ่งขึ้น ส่วนใหญ่เด็กจะใช้เกณฑ์ในการจำแนกอยู่ 3 อย่าง คือ ความเหมือน ความแตกต่าง และความสัมพันธ์ร่วม ซึ่งแล้วแต่เด็กจะเลือกใช้(ดังนั้นครุควรถามเมื่อจัดกิจกรรมทั้งนี้เพื่อให้ประเมินเด็กได้อย่างถูกต้อง) ซึ่งเด็กปฐมวัยส่วนใหญ่จะเลือกใช้เกณฑ์ 2 อย่าง คือ ความเหมือน และความต่าง เมื่อเด็กสามารถสร้างความเข้าใจได้อย่างถ่องแท้เกี่ยวกับความสัมพันธ์แล้วเด็กจึงจะจำแนกโดยใช้ความสัมพันธ์ร่วมได้

3. ทักษะการเปรียบเทียบ (Comparing)คือ การที่เด็กต้องอาศัยความสัมพันธ์ของวัตถุสิ่งของหรือเหตุการณ์ ตั้งแต่สองสิ่งขึ้นไป บนพื้นฐานของคุณสมบัติที่มีลักษณะเฉพาะอย่าง เช่น เด็กสามารถบอกได้ว่าลูกบอลลูกหนึ่งมีขนาดเล็กกว่าลูกอีกลูกหนึ่ง นั่นแสดงให้เห็นว่า เด็กเห็นความสัมพันธ์ของลูกบอล คือ เล็ก - ใหญ่ ความสำคัญในการเปรียบเทียบ คือ เด็กจะต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับลักษณะเฉพาะของสิ่งนั้น ๆ และรู้จักคำศัพท์คณิตศาสตร์ การเปรียบเทียบนับว่าเป็นพื้นฐานสำคัญต่อการเรียนในเรื่องการวัดและการจัดลำดับ

4. ทักษะการจัดลำดับ (Ordering)คือ การส่งเสริมให้เด็กได้พัฒนาความคิดรวบยอดเกี่ยวกับการจัดลำดับวัตถุสิ่งของหรือเหตุการณ์ ซึ่งเป็นทักษะการเปรียบขั้นสูง เพราะจะต้องอาศัยการเปรียบเทียบสิ่งของมากกว่าสองสิ่งหรือสองกลุ่ม การจัดลำดับในครั้งแรก ๆ ของเด็กปฐมวัยจะเป็นไปในลักษณะการจัดกระทำกับสิ่งของสองสิ่ง เมื่อเกิดการพัฒนาจนเกิความเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วเด็กจึงจะสามารถจัดลำดับที่ยากยิ่งขึ้นได้

5. ทักษะการวัด (Measurement)เมื่อเด็กมีประสบการณ์เกี่ยวกับการจัดประเภท การเปรียบเทียบ และการจัดลำดับมาแล้ว เด็กจะพัฒนาความสามารถเข้าสู่เรื่องการวัดได้ ความสามารถในการวัดของเด็ก จะมีความสัมพันธ์กับความสามารถใสนการอนุรักษ์(ความคงที่) เช่น เด็กสามารถเข้าใจเกี่ยวกับความยาวของเชือกได้ว่า เชือกจะมีความยาวเท่าเดิมถึงแม้ว่าจะเปลี่ยนทิศทางหรือตำแหน่งก็ตาม

6. ทักษะการนับ (Counting)แนวคิดเกี่ยวกับการนับจำนวน ได้แก่ การนับปากเปล่า บอกขนาดของกลุ่มที่มีขนาดเท่ากันโดยไม่ต้องนับ นับโดยใช้ลำดับที่นับจำนวนเพิ่มขึ้น นับเพื่อรู้จำนวนที่มีอยู่ การจดตัวเลข การนับและเข้าใจความหมายของจำนวน การใช้สัญลักษณ์แทนจำนวน ในเด็กปฐมวัยชอบการนับแบบท่องจำโดยไม่เข้าใจความหมาย การนับแบบท่องจำนี้จะมีความหมายต่อเมื่อเชื่อมโยงกับจุดประสงค์บางอย่าง เช่น การนับจำนวนเพื่อนในห้องเรียน นับขนมที่อยู่ในมือ แต่การนับของเด็กอาจสับสนได้หากมีการจัดเรียงสิ่งของเสียใหม่ เมื่อเด็กเข้าใจเรื่องการอนุรักษ์(จำนวน)แล้วเด็กปฐมวัยจึงจะสามารถเข้าใจเรื่องการนับจำนวนอย่างมีความหมาย

7. ทักษะเกี่ยวกับเรื่องรูปทรงและขนาด (Sharp and Size)เรื่องขนาดและรูปทรงจะเกิดขึ้นกับเด็กโดยง่าย ทั้งนี้เนื่องจากเด็กคุ้นเคยจากการเล่น การจับต้องสิ่งของ ของเล่น หรือวัตถุรูปทรงต่าง ๆ อยู่เสมอในแต่ละวัน เราจึงมักจะได้ยินเด็กพูดถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับรูปทรงหรือขนาดอยู่เสมอ ครูสามารถทดสอบว่าเด็กรู้จักรูปทรงหรือไม่ได้โดยการให้เด็กหยิบ/เลือก สิ่งของตามคำบอก เมื่อเด็กรูปจักรูปทรงพื้นฐานแล้วครูสามารถสอนให้เด็กรู้จักรูปทรงที่ยากขึ้นได้

ทักษะพื้นฐานในการคิดคำนวณ สำหรับเด็กปฐมวัยอาจแบ่งได้ 3 ทักษะ

1. ทักษะในการจัดหมู่

2. ทักษะในการรวมหมู่(การเพิ่ม)

3. ทักษะในการแยกหมู่(การลด)



6 กิจกรรมหลัก
1. กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้เคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ของร่างกายอย่างอิสระตามจังหวะ ซึ่งจังหวะและดนตรีที่ใช้ประกอบได้แก่ เสียงตบมือ เสียงเพลง เสียงเคาะไม้ เคาะเหล็ก
1.การเคลื่อนไหวพื้นฐาน
2.การเคลื่อนไหวสัมพันธ์เนื้อหา
3.การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ

การเคลื่อนไหวเบื้องต้นสำหรับเด็กปฐมวัย
1.การเคลื่อนไหวพื้นฐาน

การเคลื่อนไหวแบบไม่เคลื่อนที่
1. การก้มตัว (bending)
2. การเหยียดตัว (stretching)
3. การบิดตัว (twisting)
4. การดึง (pulling)
5. การหมุน (turning)
6. การโยกตัว (rocking)
7. การแกว่ง หรือหมุนเหวี่ยง (swinging)
8. การดัน (pushing)
9. การสั่น (shaking)
10. การโอนเอน (swaying)
11. การตี (striking)

การเคลื่อนไหวแบบเคลื่อนที่

1. การเดิน (walking)
2. การวิ่ง (running)
3. กระโดด (jumping)
4. กระโจน (leaping)
5. กระโดดขาเดียว (hopping)
6. ก้าวกระโดด (skip)
7. การควบม้า (gallop)
8. การไถลหรือสไลด์ (sliding)

การเคลื่อนไหวประกอบอุปกรณ์ 1. ใช้อุปกรณ์ประกอบการเคลื่อนไหวอย่างอิสระ
2. ใช้อุปกรณ์ประกอบการเคลื่อนไหวพร้อมกับดนตรี
3. เคลื่อนไหวร่างกายไปในทิศทางต่างๆพร้อมกับอุปกรณ์นำระดับสูงกลางต่ำและอวัยวะส่วนต่างๆ
4. จับคู่เคลื่อนไหวร่างกายพร้อมกับผ้า
5. เคลื่อนไหวร่างกายประกอบกระดาษ
6. เคลื่อนไหวกลุ่มประกอบเชือก
7. ยืนเป็นวงกลม วางอุปกรณ์ไว้กลางวงแล้วเคลื่อนที่ไปรอบๆ

2.การเคลื่อนสัมพันธ์เนื้อหา
1.การเคลื่อนไหวตามคำสั่ง เป็นการจัดกิจกรรมให้เด็กได้เคลื่อนไหวร่างกายตามที่ครูออกคำสั่ง เช่น ให้จัดกลุ่มตามจำนวน การทำท่าทางตามคำสั่ง ฯลฯ

2.การเคลื่อนไหวตามข้อตกลง เป็นการจัดกิจกรรมให้เด็กได้เคลื่อนไหวร่างกายตามข้อกำหนด เช่น การฝึกความจำ สถานที่ สัญญาณ ท่าทาง เกมการละเล่นต่างๆ ฯลฯ

3.การเคลื่อนไหวแบบผู้นำ ผู้ตาม เป็นการจัดกิจกรรมให้เด็กได้เคลื่อนไหวร่างกาย ทำท่าทางเป็นผู้นำและให้เพื่อนปฏิบัติตาม สลับหมุนเปลี่ยนกันไป

4.การเคลื่อนไหวท่าทางตามจินตนาการ เป็นการจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวที่ให้เด็กแสดงท่าทางตามความคิดจินตนาการโดยฟังคำบรรยายเรื่องราว เพลง ทำนอง โดยทำท่าทางจินตนาการประกอบอุปกรณ์ เช่น ริบบิ้น เชือก ฯลฯ

5.การเคลื่อนไหวประกอบเพลงหรือคำคล้องจอง เป็นการจัดกิจกรรมให้เด็กได้เคลื่อนไหวร่างกายหรือบริหารร่างกายอย่างอิสระประกอบเพลงหรือคำคล้องจอง

2. กิจกรรมสร้างสรรค์ เป็นกิจกรรมเกี่ยวกับงานศิลปศึกษาต่าง ๆ ได้แก่ การวาดภาพระบายสี การปั้น การพิมพ์ภาพ การพับ ตัด ฉีก ปะ และประดิษฐุ์เศษวัสดุ ที่มุ่งพัฒนากระบวนการคิดสร้างสรรค์ การรับรู้เกี่ยวกับความงามและส่งเสริมกระตุ้นให้เด็กแต่ละคนได้แสดงออกตามความรู้สึกและความสามารถของตนเอง

3. กิจกรรมเสรี เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้เล่นกับสื่อและเครื่องเล่นอย่างอิสระในมุมการเล่นกิจกรรมการเล่นแต่ละประเภทสนองตอบความต้องการตามธรรมชาติของเด็ก

4. กิจกรรมเสริมประสบการณ์ เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้ฟัง พูด สังเกต คิด และปฏิบัติการทดลอง ให้เกิดความคิดรวบยอดและเพิ่มพูนทักษะต่าง ๆ ด้วยวิธีการหลากหลาย เช่น การสนทนา ซักถามหรืออภิปราย สังเกต ทัศนศึกษา และปฏิบัติการทดลองตามกระบวนการเรียนรู้

5. กิจกรรมกลางแจ้ง เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้ออกนอกห้องเรียนไปสู่สนามเด็กเล่นทั้งที่บริเวณกลางแจ้งและในร่มเพื่อเปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงออกอย่างอิสระ โดยยึดเอาความสนใจ และความสามารถของเด็กแต่ละคนเป็นหลัก

6. กิจกรรมเกมการศึกษา เป็นกิจกรรมการเล่นที่มีกระบวนการในการเล่นตามชนิดของเกมประเภทต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งที่เรียน

อ้างอิงมาจาก: แผนการจัดประสบการณ์ ชั้นอนุบาลปีที่ 1 สำนักงานคณะกรรมการการปถมศึกษาแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ

APPLIED การประยุกต์ใช้
การจัดกิจกรรมวิเคราะห์เนื้อหาสาระให้ถูกต้งในการนำมาปรับใช้กับเด็กต้องให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง

VOCAB

skill ; talent ; ability ทักษะ
Senses - ประสาทสัมผัส
Plan - การวางแผน
Interaction - ปฎิสัมพันธ์

ASSESSMENTการประเมิน

self : ตั้งใจฟังและคิดตาม
friend : เพื่อนๆตั้งใจเรียนอาจจะมีเสียงดังบ้างแต่ก็ฟังอย่างเรียบร้อย
Teacher : คำแนะนำของอาจารย์ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง

วันเสาร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2561

บันทึกการเรียนครั้งที่ 4
 วันจันทร์ที่ 5 กุภาพันธ์ พ.ศ.2561

KNOWLEDGE

การเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่Montessori




การจัดการเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่ เป็นการจัดสภาพการเรียนรู้โดยมีครูเป็นผู้จัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้เหมือนบ้าน และกระตุ้นให้เด็กคิดแก้ปัญหาด้วยตนเอง ใช้จิตใจซึมซับสิ่งแวดล้อม โดยครูคำนึงถึงความสนใจ ความต้องการในการเรียนรู้ของเด็ก ยึดหลักความแตกต่างระหว่างบุคคลและคำนึงถึงเด็กเป็นสำคัญ ส่งเสริมให้เด็กเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างอิสระ  จัดสิ่งแวดล้อมและอุปกรณ์ให้เด็กได้ฝึกทักษะกลไกผ่านประสาทสัมผัส   ทั้งห้า รู้จักควบคุมการทำงานด้วยตัวเอง มอนเตสซอรี่ เชื่อว่า “ เด็ก คือผู้รู้ความต้องการของตนเองและมีความสามารถที่จะซึมซับการเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมได้” หลักสูตรของมอนเตสซอรี่สำหรับเด็กวัย 3-6 ขวบ ครอบคลุมการศึกษา 3 ด้านคือ

1.ด้านทักษะกลไก (Motor Education)
2.ด้านประสาทสัมผัส (Education of the Senses)
3.ด้านการเขียนและคณิตศาสตร์ (Preparation For Writing and Arithmetic)


มีลักษณะส่งเสริมการเรียนด้วยตนเอง เน้นการช่วยเหลือตนเองให้มากที่สุด โดยโรงเรียนจัดสิ่งแวดล้อมให้เสมือนบ้าน เช่น ห้องนอน ห้องครัว ห้องนั่งเล่น มีห้องโถงใหญ่ที่จัดมุมการเรียนรู้ไว้ตอบสนองความต้องการของเด็ก ได้แก่ มุมฝึกประสาทสัมผัส มุมภาษา มุมคณิตศาสตร์ มุมดนตรี มุมศิลปะ มุมที่จะสอนสิ่งที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน และมุมภูมิศาสตร์ เป็นต้น
การเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่มีประโยชน์ต่อเด็กปฐมวัยอย่างไร?
-เด็กเกิดการเรียนรู้ได้ตนเอง
-เด็กสามารถนำสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ดี
-เด็กเรียนด้วยความสุข มีสมาธิจากการทำงาน เพราะเป็นจัดการเล่นปนเรียน
-เด็กได้เข้าสังคมกับเพื่อน เรียนรู้ที่อยู่ร่วมกัน ให้ความช่วยเหลือกัน

ภาษาธรรมชาติ


การสอนภาษาธรรมชาติ
คือ การที่เด็กได้เรียนรู้การใช้ภาษาทั้งด้านการฟัง พูด อ่าน เขียนไปตามธรรมชาติ อย่างมีความหมาย สอดคล้องเหมาะสมกับวัย
ลักษณะการสอนภาษาแบบธรรมชาติ
-เด็กเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ เด็กมีโอกาสเลือกกิจกรรมปฏิบัติอย่างอิสระ
-ผู้ใหญ่เป็นนักอ่านที่ดีให้เด็กเห็นเป็นแบบอย่าง
-เด็กสามารถเกิดประสบการณ์ทางภาษาได้ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอน
-เมื่อเด็กอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีภาษาหรือตัวหนังสือ จะทำให้เด็กคุ้นเคยกับภาษา



สารนิทัศน์
ตัวอย่างผลงานของเด็ก  ภาพถ่าย  กิจกรรมของเด็ก บทสนทนาของเด็ก ที่แสดงให้ผู้อื่นเห็น
หรือแสดงให้เห็นร่องรอยของการเจริญเติบโต  พัฒนาการ  และการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย
จากการทำกิจกรรมของเด็กเป็นรายบุคคล หรือเป็นรายกลุ่ม

ประเภทสารนิทัศน์
สารนิทัศน์ประเภทที่1 การบรรยายเรื่องราวหรือประสบการณ์
สารนิทัศน์ประเภทที่2 การสังเกตพัฒนาการเด็ก
สารนิทัศน์ประเภทที่3 แฟ้มสะสมงาน(Portfolio)
สารนิทัศน์ประเภทที่4 ผลงานรายบุคคลและรายกลุ่ม
สารนิทัศน์ประเภทที่5 การสะท้อนตัวเอง



แฟ้มสะสมผลงาน(Portfolio)



เป็นสารนิทัศน์ที่มุ่งเน้นด้านการจัดเก็บรวบรวมผลงานของเด็กเป็นรายบุคคลอย่างต่อเนื่องและ
สม่ำเสมอ ช่วยให้เห็นความก้าวหน้าทางพัฒนาการด้านต่างๆและความสำเร็จของเด็ก การจัดเก็บ
รวบรวมข้อมูลแสดงให้เห็นว่า ผู้เรียนได้มีโอกาสสะท้อนความคิด ความพยายาม และแสดงศักยภาพ
ของตนเองได้อย่างสมบูรณ์

องค์ประกอบแฟ้มสะสมงาน
1.ส่วนปก  ปกนอก ปกใน
2.ส่วนนำ  คำนำ ข้อมูลผู้เรียน สารบัญ
3.ส่วนเนื้อหา  ผลงานเอกสารต่างๆ

วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลในแฟ้มสะสมงาน
1.การสังเกต
2.การบันทึก
3.การสนทนา
4.การสัมภาษณ์

การสอนแบบวอลดอร์ฟ (Waldorf)




มีเป้าหมายเพื่อพัฒนามนุษย์ไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ด้วยการพัฒนาการ(Body)
จิต(Soul) และจิตวิญญาณ(Spirit) ความดี(Good) ความงาม(Beauty) ความจริง
(Truth)

ความเข้าใจของครูผู้สอน
มีการจัดคอร์สฝึกหัดครูในแนวทางวอลดอร์ฟ เพ่อมีโอกาสพัฒนาตนให้มีความรู้ความสามารถ
ตามแนวทางมนุษยปรัชญา เข้าใจธรรมชาติวัยเด็ก

ทักษะศิลปะของครูผู้สอน
ฝึกหัดการวาดภาพระบายสี งานปั้น งานหัตถกรรมเย็บปักถักทอ การจัดดอกไม้ ตลอดจนงานใน
ชีวิตประวัน เช่น งานบ้าน งานครัว งานสวน ฯลฯ เพื่อขัดเกลายก ระดับจิตใจตนเองไปสู่ความ
ละเอียดประณีต บรรลุสู่คุณธรรม ความดี

การจัดประสบการการณ์เรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัยในแนววอลดอร์ฟ
การจัดประสบการการณ์เรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัยในแนววอลดอร์ฟ
*หลักสูตรและกิจกรรม จัดให้มีความเชื่อมโยงกัน ทั้ง 3 มิติ คือ
•รอบปี (ฤดู เทศกาล วัฒนธรรม)
•รอบสัปดาห์ (วิถีชีวิตของคนในชุมชน สังคม ครอบครัว)
•รอบวัน (จังหวะชีวิตในหนึ่งวัน)

การจัดสภาพแวดล้อม
อนุบาลแบบบ้าน โดยมีครูเสมือนแม่ การจัดสภาพแวดล้อมภายในเช่นเดียวกับบ้านหนึ่งหลังที่มีพร้อม
ทุกอย่าง ทั้งห้องครัว ห้องนอน ห้องนั่งเล่น จัดให้มีความสวยงามและเหมาะสมกับการใช้งานใน
ชีวิตประจำวัน โดยครูจะนำทักษะด้านศิลปะมาจัดห้องเรียนให้อบอุ่นน่าอยู่ เช่น นำผ้าย้อมสีธรรมชาติ
มาตกแต่งในห้องเรียน รวมทั้งอุปกรณ์และของเล่นเด็กก็มาจากวัสดุในธรรมชาติด้วย

ธรรมชาติการเรียนรู้ในวัยเด็ก
เด็กเรียนรู้ผ่านการเลียนแบบ โดยมีครูทำให้เห็นเป็นแบบอย่าง  การงานในชีวิตประจำวัน ครูจะลงมือ
ทำงานต่างๆด้วยตัวเอง ได้แก่ งานบ้าน งานครัวและงานสวน

เล่นอย่างอิสระ
เด็กจะได้เล่นอย่างเสรี ด้วยวัตถุที่มาจากธรรมชาติ ทั้งเล่นในห้องเรียน เล่นกลางแจ้ง และกิจกรรมศิลปะ
รูปแบบต่างๆ วาดภาพ ระบายสีน้ำ ปั้น ร้องเพลง นิทาน ละครหุ่น บทกลอน

บทบาทครู ( 3 R )
•การทำซ้ำ (Repetition) ครูควรทำกิจกรรมการเรียนการสอนและงานบ้านต่างๆอย่างสม่ำเสมอ
•จังหวะ (Rhythm) เพื่อให้สิ่งแวดล้อมมีบรรยากาศอบอุ่นและผ่อนคลาย เหมาะสมกับธรรมชาติของ
วัยเด็ก ครูควรจัดตารางประจำวัน ตารางกิจกรรมในสัปดาห์  ให้สอดคล้องกับจังหวะที่ราบรื่นแบบลม
หายใจเข้าและออก
•เคารพ (Reverence) ด้วยความตระหนักรู้ที่ว่า “มนุษย์เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ” ทำให้เราอยู่
ในโลกด้วยความรู้สึกกตัญญูและเคารพต่อธรรมชาติ ทั้งยังเคารพต่อศักยภาพของความเป็นมนุษย์

การศึกษาแนววอลดอร์ฟมีประโยชน์ต่อเด็กอย่างไร?
•เด็กมีอิสระ พัฒนาตนเต็มศักยภาพที่ตนมี
•เด็กมีความคิดแยบคาย สดใส มีพลังและสร้างสรรค์
•เด็กมีความเมตตา กล้าหาญ ใฝ่รู้ เอื้ออาทร



High Scope

ไฮสโคป เป็นการสอนที่เน้นการเรียนรู้แบบ ลงมือทำ ผ่านมุมเล่นที่หลากหลาย ด้วยสื่อและกิจกรรมที่
เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก และการแก้ปัญหาอย่างกระตือรือร้น โดยการให้โอกาสเด็กเป็นผู้ริเริ่ม
การเล่นหรือกิจกรรมต่าง ๆ อย่างอิสระ




การปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ใหญ่และเด็ก(Adult-Child Interaction)
การเรียนรู้แบบลงมือกระทํานั้นจะประสบความสําเร็จได้  เมื่อผู้ใหญ่และเด็กมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน 
ไฮสโคปจึงเน้นให้ผู้ใหญ่สร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและปลอดภัยให้แก่เด็ก

สภาพแวดล้อมการเรียนรู้
1.พื้นที่  ต้องมีพื้นที่สำหรับทำกิจกรรมกลุ่ม
2.วัสดุอุปกรณ์ สื่อการเรียนและอุปกรณ์ต้องมีมากพอและหลากหลาย
3.การจัดเก็บ เป็นส่วนหนึ่งการเรียนรู้เกี่ยวกับวงจรการค้นหา-ใช้-เก็บคืน




1. การวางแผน (Plan) เป็นการกำหนดแนวทางการปฏิบัติ หรือการดำเนินงานตามงานที่ได้รับ
มอบหมายหรือสิ่งที่สนใจ
2. การปฏิบัติ (Do) คือ การลงมือทำกิจกรรมตามแผนที่วางไว้
3. การทบทวน (Review) เด็ก ๆ จะเล่าถึงผลงานที่ตนเองได้ลงมือทำเพื่อทบทวนว่าตนเองนั้นได้
ปฏิบัติงานตามแผนที่ได้วางไว้หรือไม่

ประโยชน์ของแนวการสอนไฮสโคป (High Scope)
1. สอนให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์เชิงบวกกับผู้อื่น ซึ่งเริ่มต้นจากความไว้วางใจ
2. การลงมือทำงานฝึกให้เด็กวางแผนการทำงานอย่างเป็นขั้นตอน เป็นระบบ
3. เด็กได้ฝึกสมาธิทำให้เด็กเกิดปัญญา ฝึกความมีระเบียบวินัย  ฝึกการคิดอย่างมีความหมาย


APPLIED การประยุกต์ใช้
     การนำการสอนในแต่ละอย่างไปใช้ควรนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อเด็กปฐมวัยและพัฒนาการ



VOCAB
Rhythm - จังหวะ
Reverence - เคารพ
Interaction - ปฎิสัมพันธ์
Adult - ผู้ใหญ่
Plan - การวางแผน
Do - การปฏิบัติ
Review - การทบทวน
Senses - ประสาทสัมผัส
Preparation - การตระเตรียม
Soul - จิต
Spirit - จิตวิญญาณ
Truth - ความจริง
Repetition - การทำซ้ำ

ASSESSMENTการประเมิน

self : ตั้งใจฟัง และนำเสนองาน
friend : เพื่อนตั้งใจเรียนและมีปฎิสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์ในด้านความรู้
Teacher : คำแนะนำของอาจารย์ สามารถนำไปประยุกย์ใช้ได้จริง

บันทึกการเรียนครั้งที่ 17 วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม 2561 เวลา 13.00-15.30 น. วันจันทร์ที่ 23 เมษายน 2561 เวลา 11.30-14.30 น. KNOWLED...